ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบนเวทีพรีเมียร์ลีก มีนักเตะยอดฝีเท้ามากมายเรียงคิวเข้ามาค้าแข้งอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตำแหน่ง กองหน้า กองกลาง ยันกองหลัง วันนี้เราจะมาพูดถึงเหล่าดาวซัลโวบนพรีเมียร์ลีก ที่ล้วนแล้วแต่ถูกจาลึกไว้บนประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ทั้ง 10 คน ซึ่งนับเฉพาะประตูที่ซัดในศึกพรีเมียร์ลีกเท่านั้น
อันดับที่ 10
Jimmy Floyd Hasselbaink – จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ ซัดไป 127 ประตู
ยอดดาวยิงจากทีมชาติฮอลแลนด์ ที่เป็นอีกหนึ่งตำนานของเหล่าสาวกสิงห์บลู เชลซี เริ่มแรกเขาสร้างชื่อกับสโมสรอย่าง ทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะระเบิดฟอร์มถล่มประตูอย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยค้าแข้งบนเวทีพรีเมียร์กับยูงทองไปเพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้น ก่อนที่จะย้ายไปค้าแข้งยังสเปนกับ ทีมตราหมี แอตเลติโก มาดริด
ต่อมาได้หวนย้ายกลับมายังพรีเมียร์ลีกอีกครั้งกับอีกหนึ่งทีมที่ดีที่สุดอย่าง เชลซี มิดเดิลสโบรห์ ชาร์ลตัน และคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ตามลำดับ รวมแล้วซัดไปมากถึง 127 ประตู ในพรีเมียร์ลีก
โดย ฮัสเซลแบงค์ ถูกยกย่องให้เป็นกองหน้าที่เฉียบคม ว่องไว้ และที่สำคัญคือความแข็งแกร่ง และสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากกองหน้าคนอื่น คือ ลูกยิงอันทรงพลังที่แฟนบอลทุกคนรู้ดี
อันดับที่ 9
Teddy Sheringham – เท็ดดี้ เชอริงแฮม ซัดไป 147 ประตู
กองหน้าเจ้าของฉายา “น้าหมี” ยอดกองหน้าที่แฟนบอลต่างคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ภายใต้ชุดปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งจุดเด่นของ เชอริงแฮม คือ เป็นกองหน้าสไตล์อังกฤษแท้ๆ คือ การเล่นลูกกลางอากาศที่เป็นจุดเด่น ไม่เพียงแค่นั้น เพราะเขายังโดดเด่นในเรื่องของการหาพื้นที่และเล่นบอลอย่างฉลาด ทำให้เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่เข้าใจเกมได้ดีเยี่ยม
โดยช่วงที่ เชอริงแฮม โชว์ฟอร์มได้อย่างเปรี้ยงปรางมากที่สุด คือช่วงที่ค้าแข้งภายใต้สีเสื้อของไก่เดือยทอง อย่าง ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่กดไปถึง 76 ประตู จากการลงเล่นเพียง 166 นัดเท่านั้น
อันดับที่ 8
Les Ferdinand – เลส เฟอร์ดินานด์ ซัดไป 149 ประตู
กองหน้าสไตล์อังกฤษพันธุ์แท้อีกคนหนึ่งบนเวทีพรีเมียร์ลีก ซึ่งอดีตศูนย์หน้าดีกรีทีมชาติอังกฤษรายนี้ คือ กองหน้าที่มีจุดเด่นด้านความแข็งแกร่ง อาศัยจังหวะการปะทะเพื่อเอาชนะเหล่าตัวประกบ โดยที่ไม่มีความโดดเด่นด้านเทคนิคเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของศูนย์ยุคเก่าได้ดี โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่มีความดุดันมาก
โดยสโมสรที่ เลส เฟอร์ดินานด์ สร้างชื่อคือ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส ก่อนที่จะย้ายมาถล่มประตูให้กับ นิวคาสเซิล แบบถล่มถลายถึง 41 ประตู จาก 68 นัด จนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งเกาะอังกฤษในเวลานั้นไปทันที ในปี 1996
อันดับที่ 7
Michael Owen – ไมเคิล โอเวน ซัดไป 150 ประตู
กองหน้าที่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอลอังกฤษทั่วโลก ซึ่งเป็นทั้งที่รักและไม่ชอบของเหล่าสาวก เดอะ ค็อป ในเวลาเดียวกัน แต่สำหรับฝีเท้าต้องยอมยกให้เป็นหนึ่งในนักบอลที่มีฝีเท้าจัดจ้านและของจริงที่สุดคนหนึ่ง โดยเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 7 ของทำเนียบดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ด้วยความเก่งกาจแต่ยังเด็กในวัยเพียง 17 ปี จนได้รับฉายา “เบบี้โกล”
โอเวน แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับลิเวอร์พูล ก่อนที่จะย้ายไปค้าแข้งในสเปนกับยอดทีมอย่าง เรอัล มาดริด และย้ายกลับมายังพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง สุดท้ายสามารถไปคว้าทีมลีกสูงสุดได้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนั่นจึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่แฟนบอลลิเวอร์พูลไม่ชอบโอเว่นขึ้นมาทันที
อันดับที่ 6
Wayne Rooney – เวย์น รูนีย์ ซัดไป 156 ประตู
เจ้าของดาวยิงอันดับหนึ่งตลอดกาลในทีมชาติอังกฤษ รูนีย์ คือนักเตะที่มากด้วยพรสวรรค์ เขาฉายแสงตั้งแต่อายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น ซึ่งเขาเริ่มค้าแข้งกับทีมอย่าง เอฟเวอร์ตัน ปี 2002 และอีก 2 ปี ถัดมาจะย้ายมาสวมยูนิฟอร์มปีศาจแดงในปี 2004 ลงเล่นรับใช้ไปแล้วมากเกือบ 400 นัด
ฝีเท้าของยอดดาวยิงอังกฤษคนนี้ต่างได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าแฟนบอลทั่วโลกต้องเคยได้ยินชื่อของเขา แม้จะอายุเข้าเลข 3 แล้วก็ตาม แต่หลายๆ คนก็ยังคาดหวังให้รูนีย์ ทำลายสถิติดาวยิงตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกลงให้ได้
อันดับที่ 5
Robbie Fowler – ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ซัดไป 163 ประตู
นักเตะที่เหล่าเดอะ ค็อป ต่างขนานนามให้ว่า “เดอะ ก็อต” ของพวกเขา ตลอดระยะเวลาที่ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ฟาวเลอร์ ตะบัดไปมากถึง 120 ประตู เรียกได้ว่าเป็นตัวผลิตสกอร์โดยแท้ แม้ในช่วงหลังฟาวเลอร์ ได้ย้ายออกจากทีมเพื่อไปตามล่าหาความสำเร็จ ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดลงในปี ค.ศ.2012 กับทีมในบ้านเราเองอย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด นั่นเอง
แม้ว่าฟาวเลอร์จะมีข้อถกเถียงมากมายในหลายๆ เรื่อง ทั้ง ความขี้เกลียด, ความฟิต, ค่าเหนื่อยที่แพงหูฉีก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องเป็นข้อถกเถียงแต่อย่างใด คือ ฟอร์มการทำประตูของเขาที่เรียกได้ว่าคมกริบยิ่งกว่าอะไรนั่นเอง
อันดับที่ 4
Frank Lampard – แฟรงค์ แลมพาร์ด ซัดไป 165 ประตู
หลายคนเมื่อเลื่อนมาอ่านถึงรายชื่อตรงนี้คงตกใจไม่น้อย ซึ่งทราบกันดีอยู่แล้วว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด คือ นักเตะในตำแหน่งกองกลาง แต่ทำไมถึงมาอยู่ในธรรมเนียบดาวซัลโวสูงสุดของเกาะอังกฤษได้ หากใครที่ติดตามการเล่นของ แลมพาร์ด จะเห็นได้เลยว่าเขาทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกยิงไกลหรือใกล้ เรียกได้ว่าอันตรายเสมอเวลาบอลอยู่ที่เท้า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่เขาจะมาติดอยู่ในอันดับที่ 4
ด้วยฟอร์มที่สม่ำเสมอจึงทำให้เขาเป็นกองกลางที่อันตรายที่สุดแห่งยุคคนหนึ่ง และครบเครื่องอย่างมาก การันตีได้จาก 165 ประตูที่ทำได้
อันดับที่ 3
Thierry Henry – เธียร์รี อองรี ซัดไป 175 ประตู
สุดยอดตำนานดาวยิงสูงสุดแห่งไอ้ปืนโต หนึ่งในชุดไร้พ่ายภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ จนขึ้นชื่อได้ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของสโมสรแห่งนี้ โดยกองหน้าชาวฝรั่งเศสคนนี้กดไปถึง 174 ประตูจากตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่ลงรับใช้อาร์เซนอล ตั้งแต่ปี 1999-2007 และกลับมาในถานะนักเตะยืมตัวยิงไปอีก 1 ประตู
ไม่เพียงแค่นั้น เพราะในนามทีมชาติ อองรี ยังครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดประจำชาติอีก ด้วยการยิงไปถึง 51 ประตู จากการลงรับใช้ชาติ 123 นัด
อันดับที่ 2
Andy Cole – แอนดี้ โคล ซัดไป 188 ประตู
แฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างรู้จักเป็นอย่างดีในชื่อ “คิงโคล” แม้ในช่วงอาจจะมีอาการฟอร์มตกจนเรียกสากกะเบือกันบ้าง แต่หากมองเห็นตัวเลขจำนวนประตูที่โคลทำไว้ คงไม่มีใครกล้าเถียงว่านี้คือ ยอดดาวยิงเบอร์หนึ่งตลอดกาลคนหนึ่งแห่งเกาะอังกฤษ
แฟนบอลหลายคนต่างหงุดหงิดหัวเสียในเรื่องของความเฉียบคมของเขา แต่ด้วยความที่มีไหวพริบและสัญชาติญาณกองหน้า จึงทำให้โคลสร้างโอกาสยิงให้กับตัวเองมากมาย และสุดท้ายก็เข้ามาติดอันดับที่ 2 ของกองหน้าดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล
อันดับที่ 1
Alan Shearer – อลัน เชียร์เรอร์ ซัดไป 260 ประตู
ดาวซัลโวสูงสุดตลอดคนเดียวคนนี้ ด้วยฟอร์มการถล่มประตูอันสวยหรูกว่า 260 ประตู ตลอดชีวิตการค้าแข้งบนเวทีพรีเมียร์ลีก นำโด่งอันดับ 2 อย่าง แอนดี้ โคล มากถึง 72 ประตู พร้อมกับถูกยกให้เป็นกองหน้าอังกฤษที่คมที่สุดเท่าที่โลกมีมา ด้วยจำนวนสถิติที่ไม่มีใครกล้าเถียง
เชียร์เรอร์ เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสปีดหรือเทคนิคอันแพรวพราว แต่ด้วยความเฉียบคมและความแน่นอนในการสังหารประตู ทำให้เชียร์เรอร์กองหน้าที่อันตรายที่สุดคนหนึ่ง ด้วยระยะการยิงที่ทำได้ทุกระยะ บวกกับการโอกาสการทำประตูที่สร้างสรรค์ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งเขายังสามารถทำประตูได้จากทั้งลูกที่เล่นด้วยเท้าและลูกกลางอากาศที่ไม่เป็นสองรองใคร ส่งผลให้เขาคือกองหน้าที่ครบเครื่องโดยแท้จริง